2025-09-23
HaiPress
นักวิชาการ-นายแบงก์ ชี้โลกร้อนทุบเศรษฐกิจพัง 18 ล้านล้านดอลลาร์ ระบุรุนแรงกว่าโควิด 6 เท่า เตือนไทยต้องเร่งรับมือด่วน แนะปั้นระบบเศรษฐกิจคู่ระบบนิเวศน์
เมื่อวันที่ 22 ก.ย. นายกรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวในงาน MFLF Sustainability Forum 2025 เรื่อง “วิกฤตโลก ทางออกไทย” จัดโดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ว่า ผลกระทบจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หากทุกฝ่ายยังปล่อยไว้และไม่ทำอะไร จะก่อให้เกิดการสูญเสียทางด้านต้นทุนทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล
ทั้งนี้จากงานวิจัยล่าสุดของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ได้ประเมินว่า หากอุณหภูมิของโลกร้อนขึ้น 3.2 องศา ในปี พ.ศ. 2593 จะทำให้เกิดความเสียหายประมาณ 18 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 18% ของจีดีพีโลก โดยถือว่าสูงกว่าเมื่อเทียบกับช่วงที่เกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่สูญเสียไปประมาณ 8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 3% ของจีดีพี หรือรุนแรงกว่าถึง 6 เท่าตัว
นายกรินทร์ กล่าวว่า หากเกิดขึ้นกับประเทศไทย ก็เชื่อว่าจะกระทบประมาณ 44% ของจีดีพี หรือกระทบกับภาคการส่งออก 45% ถ้าเกิดไม่ปรับตัว สิ่งเหล่านี้ถ้าไม่ปรับตัว ถ้าเป็นภาคธนาคาร คือ ถ้าลูกค้าไม่ปรับตัว ไม่เปลี่ยนแปลง จะมีหนี้เสียเพิ่มขึ้น ดังนั้นไทยก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน แล้วจะแข่งขันในเวทีโลกที่เปลี่ยนไปกันได้อย่างไร
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาได้ใช้เครื่องมือทางการเงินเข้ามาให้สินเชื่อเพื่อสนับสนุนให้เกิดการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ หรือให้สินเชื่อที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาโลกร้อน โดยในปี 2566 ทั่วโลกมีการจัดสรรเงินทุนระดับโลกที่จัดสรรเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือการปรับตัวเพื่อรับผลกระทบ ในวงเงินถึงประมาณ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นประมาณ 1.7% ของจีดีพีโลก โดยในส่วนนี้คาดว่าทั่วโลกจะมีวงเงินที่จัดสรรมาให้กับการจัดการโลกร้อน จะเพิ่มขึ้นอีกมาก โดยคาดว่าในปี 2573 วงเงินส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 4.4 – 6.3 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 2 – 3 เท่า ขณะที่ในปี 2574 – 2593 จะเพิ่มขึ้นเป็น 7.1 – 9.2 ล้านล้านดอลลาร์หรือเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 4 -5 เท่าจากในปัจจุบัน
ทั้งนี้คาดว่าเงินที่จะถูกใช้ไปในอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จะเปลี่ยนจากช่วงปี 2566 ที่เงินทุนกว่า 72% ไปลงทุนในส่วนของภาคพลังงานและการขนส่ง ไปสู่การปล่อยสินเชื่อ และลงทุนในส่วนของการลดคาร์บอนจากภาคการผลิต จากเทรนด์ความต้องการการสนับสนุนทางการเงินเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน
นายกรินทร์ กล่าวว่า ธนาคารได้ตรวจสอบข้อมูลลูกค้าเป็นรายอุตสาหกรรม เพื่อพิจารณาแนวโน้มการปล่อยสินเชื่อสีเขียว เพราะที่ผ่านมาพบว่ามีความต้องการขอสินเชื่อในลักษณะดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป้าหมายเดิมคาดว่าจะปล่อยสินเชื่อได้ประมาณ 2 แสนล้านบาทในปี 2030 แต่ล่าสุดมีการขอเข้ามาแล้ว 1.65 แสนล้านบาท และน่าจะถึงเป้าหมาย 2 แสนล้านบาทในปี 2569
“ความต้องการที่เพิ่มขึ้น ทำให้ตอนนี้ ธนาคารเตรียมปรับเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อด้านสิ่งแวดล้อม ในปี 2030 จาก 2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 5 แสนล้านบาท และจะผลักดันเงินเข้าสู่ระบบมากขึ้น และสิ่งที่ทำคู่กันคือการขยายไปกลุ่มเล็กลงมา หรือกลุ่มเอสเอ็มอีมากขึ้น จากเดิมที่ปล่อยให้รายใหญ่ เพราะกลุ่มนี้ต้องการโซลูชันเรื่องของสิ่งแวดล้อมมากขึ้น”
นายปิยะชาติ อิศรภักดี ประธานร่วม BRANDi Institute of Systematic Transformation (BiOST) กล่าวว่า โลกกำลังเผชิญกับความย้อนแย้งที่ปัญหาสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมทวีความรุนแรงขึ้น แต่การลงมือทำยังติดอยู่กับการแก้ปัญหาระยะสั้น โดยปัญหาหลักของระบบเศรษฐกิจปัจจุบันคือ สมการการเติบโตของโลกไม่ได้รวมสิ่งที่เรียกว่า Ecosystem Service หรือการเติมต้นทุนจากระบบนิเวศเกี่ยวกับการพัฒนาที่นั่งยืนเข้าไปในระบบเศรษฐกิจด้วย ทั้งที่เป็นต้นทุนที่ใช้ในการทำธุรกิจและขับเคลื่อนเศรษฐกิจมาโดยตลอด ทำให้การเติบโตที่ผ่านมาเป็นการเติบโตที่ทำให้อนาคตอายุสั้นลงแทนที่จะเกิดการพัฒนามากขึ้น
ทั้งนี้ได้เสนอว่าการเติบโตยุคใหม่ต้องสร้างอนาคตที่แท้จริงใน 3 ระดับ คือ ระดับมหภาค นโยบายต้องเห็นความสัมพันธ์ระหว่างความยั่งยืนกับเศรษฐกิจเป็นเรื่องเดียวกัน ต่อมา คือ ระดับตลาด ต้องสร้างตลาดที่มองว่าการแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม คือโอกาสทางธุรกิจใหม่ และระดับจุลภาค ด้วยการปลูกฝังให้การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตในทุก ๆ วันเป็นส่วนหนึ่งของความยั่งยืน
“การมีผู้นำธุรกิจในโลกสมัยใหม่ จำเป็นต้องมีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ที่ดี และการพัฒนาให้เกิดผลอาจจะเริ่มต้นด้วยการทำสิ่งเล็ก ๆ แต่ต้องทำทุกวัน เพื่อให้มีผลเกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไป”