สัญญาณเศรษฐกิจไทยแผ่ว GDP ครึ่งปีหลังอาจโตเฉลี่ยไม่ถึง 1%

2025-05-26 IDOPRESS

เศรษฐกิจโลกแนวโน้มชะลอตัว แม้ภาพรวมการเจรจาการค้ามีความคืบหน้า ส่งสัญญาณเตือนเศรษฐกิจไทยช่วงข้างหน้าจะแผ่วลง GDP ครึ่งปีหลังอาจโตเฉลี่ยไม่ถึง 1%

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ประเมินเศรษฐกิจโลกในปีนี้ ยังมีแนวโน้มชะลอตัวมากจากสงครามการค้า แม้ภาพรวมจะดีขึ้นบ้างจากความคืบหน้าการเจรจาการค้า ข้อมูลเร็วจากการสำรวจ (Soft data) สะท้อนกิจกรรมโลกปรับลดลงมากที่สุดในรอบหนึ่งปีครึ่ง แต่ข้อมูลเศรษฐกิจจริง (Hard data) ที่จะออกมาช้ากว่ายังไม่เห็นผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ชัดเจนนัก หลายประเทศขยายตัวดีขึ้นจากการเร่งผลิต ส่งออก และบริโภคก่อนจะได้รับผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีสหรัฐ เต็มที่ในช่วงข้างหน้า

ประเมินว่า Hard data จะมีแนวโน้มปรับลดลงตาม Soft data แต่อาจไม่รุนแรงนัก เพราะบรรยากาศการเจรจาการค้าของสหรัฐ กับคู่ค้าเริ่มดีขึ้นบ้าง โดยเฉพาะข้อตกลงกับสหราชอาณาจักรที่ลุล่วงแล้ว ข้อตกลงลดภาษีตอบโต้กับจีนชั่วคราว และแผนเร่งเจรจากับคู่ค้าหลัก ทั้งนี้ SCB EIC ประเมินว่าอัตราภาษีตอบโต้จริงของสหรัฐ หลังสิ้นสุดช่วงเจรจาส่วนใหญ่จะยังคงสูงกว่าอัตราภาษีขั้นต่ำ 10% (Universal tariff) รวมถึงจะยังมีความไม่แน่นอนทางนโยบายในระดับสูงต่อเนื่อง ส่งผลกดดันภาพรวมการค้าและการลงทุนโลก

เศรษฐกิจสหรัฐ ในปี 2568 ยังมีแนวโน้มชะลอลง แม้จะปรับดีขึ้นบ้าง หลังสหรัฐมีความคืบหน้าในการเจรจาคู่ค้าที่เป็นประโยชน์กับสหรัฐ ประกอบกับข้อมูล GDP ไตรมาส 1 ปี 2568 และข้อมูลเดือน เม.ย. ยังไม่สะท้อนผลกระทบของมาตรการกำแพงภาษีต่อเศรษฐกิจสหรัฐมากนัก SCB EIC จึงปรับลดมุมมอง Fed จะลดดอกเบี้ยเหลือเพียง 0.25% ในปีนี้ เดิม 0.75% โดยธนาคารกลางสหรัฐ อาจไม่จำเป็นต้องเร่งลดดอกเบี้ยเพื่อลดความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย เนื่องจากยังมีความเสี่ยงเงินเฟ้อสูงจากนโยบายกำแพงภาษี สอดคล้องกับการสื่อสารในช่วงนี้ของกรรมการ FOMC หลายท่าน

เศรษฐกิจไทยไตรมาส 1 ขยายตัว 3.1% ใกล้เคียงคาดการณ์ของ SCB EIC ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการส่งออกสินค้า โดยเฉพาะการเร่งส่งออกไปสหรัฐและจีน ก่อนสหรัฐ ประกาศขึ้นภาษีตอบโต้ รวมถึงวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้น และปัจจัยหนุนจากการเร่งใช้จ่ายภาครัฐ ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวยังได้รับผลบวกจากการเข้ามาของนักท่องเที่ยวในเดือนมกราคมที่ยังอยู่ในช่วงไฮซีซั่น ก่อนเริ่มชะลอตัวลงจากการหดตัวของนักท่องเที่ยวจีนเป็นหลัก อย่างไรก็ดี การลงทุนภาคเอกชนยังหดตัวต่อเนื่อง 4 ไตรมาส ขณะที่ภาคการผลิตอุตสาหกรรมยังขยายตัวต่ำ ส่วนหนึ่งจากการระบายสินค้าคงคลังต่อเนื่อง

สัญญาณเศรษฐกิจไทยช่วงข้างหน้าจะแผ่วลง GDP ครึ่งปีหลังอาจโตเฉลี่ยไม่ถึง 1% การใช้จ่ายภาครัฐจะยังช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจได้ในระยะสั้น โดยเฉพาะการปรับแผนใช้จ่ายงบกลางค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ วงเงิน 1.57 แสนล้านบาทที่ยังเหลือ

อย่างไรก็ดี เครื่องชี้ด้านการผลิตยังสะท้อนความเปราะบาง อาทิ จำนวนธุรกิจเปิดกิจการในช่วง 4 เดือนแรกของปีหดตัว 4.4% ขณะที่จำนวนธุรกิจปิดกิจการเพิ่มขึ้น 8.3% ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจปรับลดลง เครื่องชี้กิจกรรมภาคธุรกิจมีแนวโน้มซบเซาต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดบ้านและรถยนต์ ธุรกิจท่องเที่ยวเริ่มชะลอตัวตามการลดลงของนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะจีน บางธุรกิจจะเผชิญผลกระทบจาก China influx รุนแรงขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ชี้ว่า การลงทุนภาคเอกชนในช่วงที่เหลือของปีจะมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง สำหรับการส่งออกสินค้าจะกลับมาหดตัวหลังสหรัฐ เริ่มเก็บภาษีตอบโต้คู่ค้าตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค.

นอกจากนี้ เครื่องชี้ภาวะการเงินที่ยังตึงตัว โดยเฉพาะรายย่อยที่เข้าถึงสินเชื่อได้ยาก จะเป็นปัจจัยกดดันการบริโภคภาคเอกชนให้ใช้จ่ายระมัดระวังขึ้น ในภาวะกำลังซื้ออ่อนแอและหนี้ครัวเรือนสูง

SCB EIC ประเมินว่า กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้งในปีนี้สู่ระดับ 1.25% ภายในสิ้นปี 2568 เพื่อรองรับเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากสงครามการค้า ท่ามกลางความไม่แน่นอนสูง ประกอบกับความตึงตัวของภาวะการเงินที่ยังมีอยู่มาก สะท้อนจากสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ที่หดตัวต่อเนื่องและ NPLs ที่สูงขึ้น

เงินบาทกลับมาแข็งค่าเร็วสอดคล้องกับสกุลเงินภูมิภาคจากดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าและเงินทุนไหลเข้าภูมิภาค แม้ว่าเงินบาทจะแข็งค่าน้อยกว่าสกุลเงินอื่นทำให้ดัชนีค่าเงินบาทปรับอ่อนค่าลงบ้าง แต่ปัญหาค่าเงินบาทแข็งและมีความผันผวนสูงยังมีอยู่มาก ในระยะสั้นเงินบาทมีโอกาสกลับมาอ่อนค่าในกรอบ 32.50-33.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และมีแนวโน้มแข็งค่าต่อตามวัฏจักรเงินดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าและการไหลออกของเงินทุนจากสหรัฐ

ทั้งนี้เงินบาทอาจไม่แข็งค่าเร็วนัก เพราะสัดส่วนเงินลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศของไทยยังต่ำ กระแส Repatriation flows ของเงินลงทุนฯ กลับมาไทยน่าจะมีน้อย ในช่วงสิ้นปีคาดว่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในกรอบ 31.50-32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

คำปฏิเสธ: บทความนี้ทำซ้ำจากสื่ออื่น ๆ วัตถุประสงค์ของการพิมพ์ซ้ำคือการถ่ายทอดข้อมูลเพิ่มเติมไม่ได้หมายความว่าเว็บไซต์นี้เห็นด้วยกับมุมมองและรับผิดชอบต่อความถูกต้องและไม่รับผิดชอบใด ๆ ตามกฎหมาย แหล่งข้อมูลทั้งหมดในเว็บไซต์นี้ได้รับการรวบรวมบนอินเทอร์เน็ตจุดประสงค์ของการแบ่งปันคือเพื่อการเรียนรู้และการอ้างอิงของทุกคนเท่านั้นหากมีการละเมิดลิขสิทธิ์หรือทรัพย์สินทางปัญญาโปรดส่งข้อความถึงเรา
©ลิขสิทธิ์2009-2020 วารสารธุรกิจไทย      ติดต่อเรา   SiteMap