กัลฟ์กำไรพุ่งแรง! ไตรมาสเดียวฟัน 5,335 ล้านสูงสุดประวัติการณ์ จากธุรกิจโรงไฟฟ้า – อินทัช

2025-05-09 HaiPress

กัลฟ์กำไรพุ่งแรง! ไตรมาสเดียวฟัน 5,335 ล้านบาท จากโรงไฟฟ้า – อินทัช เตรียมออกหุ้นกู้ใหม่ 2 -3 หมื่นล้าน

น.ส.ยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 68 ว่า  มีรายได้รวม อยู่ที่ 32,343 ล้านบาท อยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรจากการดำเนินงาน อยู่ที่ 5,335 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จาก 4,152 ล้านบาทในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของกลุ่มบริษัทฯ

มีสาเหตุหลักมาจากการเติบโตของธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ โดยไตรมาส 1/2568 เป็นไตรมาสแรกที่บริษัทฯ รับรู้ผลกำไรเต็มไตรมาสครบทั้ง 4 หน่วย (2,650 เมกะวัตต์) ของโครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์ ปลวกแดง (GPD) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม IPD ซึ่งทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปี 2566 ถึงปี 2567 นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังรับรู้ผลกำไรเต็มไตรมาสของโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติหินกอง (HKP) ซึ่งได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ครบทั้ง 2 หน่วย (1,540 เมกะวัตต์) โดยหน่วยที่ 2 ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ไปเป็นที่เรียบร้อยในเดือนมกราคม 2568

นอกจากนี้ ในไตรมาส 1 บริษัทฯ เริ่มรับรู้ผลกำไรจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน ในประเทศ จำนวน 5 โครงการ (532 เมกะวัตต์) ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วน 100% และได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนธันวาคม 2567 โดยบริษัทฯ รับรู้ผลกำไรจากโครงการดังกล่าวจำนวน 206 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมภายใต้กลุ่ม Gulf Gunkul จำนวน 226 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 68 เพิ่มขึ้น 147% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความเร็วลมเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นจาก 4.8 เมตร/วินาที ในไตรมาส 1 ปี 67 เป็น 6.6 เมตร/วินาที ในไตรมาสนี้

default

ในส่วนของธุรกิจก๊าซ บริษัทฯ รับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากโครงการ PTT NGD จำนวน 242 ล้านบาท ในไตรมาส 1/2568 เพิ่มขึ้น 14% จาก 211 ล้านบาท ในไตรมาส 1/2567 เนื่องจากราคาน้ำมันเตาสูงขึ้นในอัตราที่สูงกว่าต้นทุนก๊าซธรรมชาติ ซึ่งราคาขายส่วนใหญ่ของโครงการ PTT NGD จะอิงกับราคาน้ำมันเตา ในขณะที่ต้นทุนจะขึ้นอยู่กับราคาก๊าซธรรมชาติ

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเริ่มรับรู้ core profit จากธุรกิจจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (LNG Shipper) ภายใต้ GLNG สำหรับการนำเข้า LNG เพื่อรองรับการผลิตไฟฟ้าของโครงการโรงไฟฟ้า GSRC GPD และ SPP 19 โครงการ ในส่วนของลูกค้าอุตสาหกรรม และรับรู้กำไร core profit จาก HKH ในการนำเข้า LNG สำหรับโรงไฟฟ้า HKP โดยบริษัทฯ รับรู้ผลกำไรรวมทั้งสิ้นจำนวน 93 ล้านบาท ในไตรมาส 1/2568

“ปี 68 คาดว่า รายได้จะเติบโตขึ้นประมาณ 25% จากการทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้าใหม่ประมาณ 1,500 เมกะวัตต์ ได้แก่ โครงการ HKP หน่วยผลิตที่ 2 กำลังการผลิตติดตั้ง 770 เมกะวัตต์ ที่ได้เริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเรียบร้อยตามกำหนดในเดือนมกราคมที่ผ่านมา โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินและโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงานภายในประเทศ ที่มีแผนเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มอีก 7 โครงการในช่วงปลายปีนี้ โดยมีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 597 เมกะวัตต์ ขณะที่โครงการ solar rooftop ภายใต้ GULF1 คาดว่าจะดำเนินการจ่ายไฟฟ้าให้กับลูกค้าเพิ่มอีกประมาณ 100 เมกะวัตต์”

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในไตรมาส 1 ปี 68 จำนวน 11,445 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับ 9,427 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 67 ในขณะที่กำไรสุทธิ (net profit) ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ (รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) ในไตรมาส 1 ปี 68 เท่ากับ 5,395 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54% จาก 3,499 ล้านบาท

ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวม 522,478 ล้านบาท หนี้สินรวม 376,802 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 145,676 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น อยู่ที่ 1.96 เท่า เพิ่มขึ้นจาก 1.80 เท่า ณ วันที่ 31 ธ.ค. 67 จากหนี้สินระยะยาวที่เพิ่มขึ้นจากการออกและจำหน่ายหุ้นกู้จำนวน 30,000 ล้านบาท ในเดือนมี.ค.

ปัจจุบันบริษัทฯ มียอดหุ้นกู้ที่ยังไม่ครบกำหนดไถ่ถอนอยู่จำนวน 185,550 ล้านบาท โดยบริษัทมีแผนจะออกหุ้นกู้เพิ่มเติมอีกประมาณ 20,000 – 30,000 ล้านบาทในไตรมาส 4 ปี 68”

ส่วนการควบรวมกิจการระหว่างบริษัทฯ และ INTUCH ได้เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และได้จัดตั้งบริษัทใหม่ภายใต้ชื่อ บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (“GULF”) ซึ่งได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 1 เม.ย. 68 โดยบริษัทใหม่ภายหลังการควบรวมมีฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทั้งในด้านธุรกิจพลังงานและธุรกิจดิจิทัล พร้อมด้วยฐานะทางการเงินที่มั่นคงมากขึ้น โดยภายหลังการควบรวม บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้ปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ GULF จากระดับ “A+“ เป็น “AA-“

คำปฏิเสธ: บทความนี้ทำซ้ำจากสื่ออื่น ๆ วัตถุประสงค์ของการพิมพ์ซ้ำคือการถ่ายทอดข้อมูลเพิ่มเติมไม่ได้หมายความว่าเว็บไซต์นี้เห็นด้วยกับมุมมองและรับผิดชอบต่อความถูกต้องและไม่รับผิดชอบใด ๆ ตามกฎหมาย แหล่งข้อมูลทั้งหมดในเว็บไซต์นี้ได้รับการรวบรวมบนอินเทอร์เน็ตจุดประสงค์ของการแบ่งปันคือเพื่อการเรียนรู้และการอ้างอิงของทุกคนเท่านั้นหากมีการละเมิดลิขสิทธิ์หรือทรัพย์สินทางปัญญาโปรดส่งข้อความถึงเรา
©ลิขสิทธิ์2009-2020 วารสารธุรกิจไทย      ติดต่อเรา   SiteMap