2024-11-21 HaiPress
เปิด 3 เหตุผล ทำไม ‘ทองคำ‘ ฟื้นตัวมาแล้ว ลุ้นปีหน้าราคาแตะ 49,250 บาท
นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) ตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดล่วงหน้า (ฟิวเจอร์ส) เปิดเผยว่า ราคาทองคำล่าสุดเคลื่อนไหวในกรอบพยายามทรงตัว หลังจากย่อตัวมาเกือบ 2 สัปดาห์ ราว 250 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ นับจากรับรู้ผลการเลือกตังประธานาธิบดีสหรัฐ อย่างไรก็ดี การเคลื่อนไหวของทองคำในช่วงนี้เป็นการขายทำกำไรหลังจากช่วงก่อนหน้าทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่องขึ้นไปแตะ 2,790 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ซึ่งถือว่าปรับตัวขึ้นไปมากกว่าที่ตลาดคาด จึงทำให้มีแรงเทขายออกมารอบใหญ่ แต่ในส่วนของภาพระยะยาวนั้นยังเป็นขาขึ้น เพราะนอกจากความผันผวนในโลกของการลงทุนที่เกิดขึ้นจากปัจจัยที่ โดนัลด์ ทรัมป์ สามารถชนะการเลือกตั้งแล้ว ก็ยังมีปัจจัยสนับสนุนอยู่อีกหลายด้าน ได้แก่
1. การเข้าซื้อของธนาคารกลางทั่วโลกที่ยังคงเดินหน้าสะสมทองคำต่อเนื่อง โดยผลสำรวจของ World Gold Council ในปี 2567 บ่งชี้ว่า “Central Bank ทั่วโลกราว 69% จะสะสมทองคำเพิ่มขึ้นในฐานะทุนสำรองฯ ต่อไปอีกอย่างน้อยในช่วง 5 ปี ต่อจากนี้” โดยเทรนด์ดังกล่าว เริ่มเห็นได้ชัดเจนมาตั้งแต่ปี 2565-2566 ที่ Central Bank ได้เข้าซื้อทองคำมากถึง 1,082 ตัน และ 1,037 ตัน ตามลำดับ และในปี 2024 แม้เผชิญกับราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง แต่ Central Bank ก็ยังเข้าซื้อทองคำรวมทั้ง 3 ไตรมาสแรก (เดือน ม.ค.-เดือน ก.ย.) ในระดับที่ยังสูงถึง 669.5 ตัน
2. เหตุผลด้านภูมิรัฐศาสตร์ แม้ว่าโดนัลด์ ทรัมป์ จะไม่มีนโยบายสนับสนุนการทำสงครามระหว่างประเทศ แต่การจะยุติความขัดแย้งในหลายๆ พื้นที่ก็ไม่สามารถทำได้ในระยะเวลาอันสั้น ประกอบกับ คณะบริหาร ณ ปัจจุบัน ซึ่งยังอยู่ภายใต้รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้อนุมัติให้ยูเครนสามารถใช้ขีปนาวุธ ATACMS ของสหรัฐโจมตีใส่ดินแดนรัสเซียได้ ขณะที่ทางฝั่งรัสเซีย จึงได้ตอบโต้ โดยการลงนามกฤษฎีกาหลักการใช้อาวุธนิวเคลียร์ จากประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ซึ่งสาระสำคัญคือ หากชาติครอบครองอาวุธนิวเคลียร์นั้นรุกรานรัสเซีย ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือเป็นชาติที่สนับสนุนศัตรู รัสเซียจะใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อการป้องปราม ซึ่งเป็นอาวุธขั้นสุดท้ายในสถานการณ์จำเป็น นอกจากนี้ นโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงให้เกิดสงครามการค้าขึ้นได้ในอนาคตโดยเฉพาะกับจีน
3. ความเปราะบางทางด้านเศรษฐกิจของสหรัฐ ความเสี่ยงจากการดำเนินนโยบายการเงินของสหรัฐ ในยุคสมัยของทรัมป์ที่มีแนวโน้มกระตุ้นเงินเฟ้อให้กลับมาเร่งตัวขึ้นอีกครั้ง จึงเกิดความกังวลถึงการที่เฟดอาจจะไม่สามารถสานต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้มากเท่าแผนการเดิม อาจจะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ รวมไปถึง SME ทำให้ขยายวงกว้างจนเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ทองคำจึงยังมีความสำคัญในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยในระยะยาว
สำหรับปี2568 YLGคงเป้าหมายทองคำที่2,850-3,000ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ขณะที่เป้าหมายของทองคำแท่ง96.5%ในประเทศอยู่ที่ระดับ46,800-49,250บาทต่อบาททองคำ(ณ อัตราแลกเปลี่ยน ที่ระดับ34.60บาทต่อดอลลาร์)
และอาจจะไปได้ถึง 50,000 บาทต่อบาททองคำ หากอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท เคลื่อนไหวใกล้โซน 35.00-35.20 บาทต่อดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม หากเฟดยังเดินหน้านโยบายดอกเบี้ยขาลงอีก 2 ปี ทองคำก็ยังปรับตัวขึ้นได้ต่อในระยะยาว นอกจากนี้ การประชุมใหญ่ประจำปีของสมาคมตลาดทองคำแห่งลอนดอน (LBMA) เมื่อกลางเดือน ต.ค. ผลสำรวจความคิดเห็นของคนในอุตสาหกรรมทองคำ คาดว่าราคาทองคำจะไต่ระดับขึ้นจนทำสถิติสูงสุดใหม่ในปี 2568