ทริสเรทติ้ง ลดเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ EA จาก A- เป็น BBB+

2024-07-16 HaiPress

ทริสเรทติ้ง ลดเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ EA จาก A- เป็น BBB+ สะท้อนความเสี่ยงสถานะการเงินของบริษัท

รายงานข่าวจาก ทริสเรทติ้ง เปิดเผยว่า ได้ลดอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. พลังงานบริสุทธิ์ (EA) และอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทเป็นระดับ “BBB+” จาก “A-” ในขณะที่ยังคงแนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” เช่นเดิม

พร้อมกันนี้ ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 5.5 พันล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “BBB+” ด้วย โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ไปใช้ในการไถ่ถอนหุ้นกู้ที่กำลังจะครบกำหนดชำระในเดือนสิงหาคม และเดือนกันยายนที่จะถึงนี้

การปรับลดอันดับเครดิตสะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะยังคงอยู่สูงกว่าเกณฑ์ในการปรับลดอันดับเครดิตของทริสเรทติ้งที่ระดับ 5 เท่าในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า โดยสถานะทางการเงินที่ถดถอยลงของบริษัทนั้นมีสาเหตุหลักมาจากยอดขายยานยนต์ไฟฟ้าที่ต่ำกว่าคาด และภาระหนี้สินของบริษัทที่อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องจากการขยายระยะเวลาในการรับชำระเงินจากการจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าให้แก่ บมจ. เน็กซ์ พอยท์ (NEX)

นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังมีความกังวลเกี่ยวกับความสามารถของ บริษัท ไทยสมายล์บัส จำกัด (TSB) ในการชำระคืนเงินกู้เช่าซื้อที่ค้างชำระแก่บริษัทจากการที่ TSB มีฐานะทางการเงินที่อ่อนแออีกด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตของบริษัทยังคงมีปัจจัยสนับสนุนจากกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้ในระดับสูง และมีจำนวนมากจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าของบริษัท

แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” สะท้อนถึงความเสี่ยงที่สถานะทางการเงินของบริษัทอาจอ่อนแอลงไปอีกเนื่องจากความไม่แน่นอนของแผนการเพิ่มยอดขายยานยนต์ไฟฟ้าโดยการตั้งเป้าหมายไปที่ลูกค้ากลุ่มใหม่และการมุ่งเน้นการจำหน่ายในพื้นที่ซึ่งมีความพร้อมด้านสาธารณูปโภคที่ดีกว่าในไตรมาสแรกของปี 2567 EBITDA ของบริษัทลดลง 40% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยลดลงเหลือ 2.27 พันล้านบาทในขณะที่ภาระหนี้สินของบริษัทยังคงอยู่ที่ระดับ 6.42 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ การลดลงของกำไรมีสาเหตุหลักมาจากยอดขายยานยนต์ไฟฟ้าที่อ่อนแอลง รวมถึงการสิ้นสุดลงของส่วนเพิ่มค่าไฟฟ้า (Adder) ของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทที่จังหวัดนครสวรรค์และการปรับลดค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าFt)

นอกจากนี้ ภาระหนี้สินของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูงซึ่งมีสาเหตุบางส่วนมาจากการขยายระยะเวลาในการเรียกเก็บชำระหนี้การค้าจาก NEX โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2567 มูลค่าลูกหนี้การค้าค้างชำระจาก NEX มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 7 พันล้านบาทซึ่งเป็นลูกหนี้การค้าค้างชำระเกินกว่า 6 เดือนมีมูลค่าถึง 2.5 พันล้านบาท

อันดับเครดิตยังคงมีข้อจำกัดจากการที่บริษัทมีความเสี่ยงด้านเครดิตของ TSB อย่างมีนัยสำคัญโดยบริษัทมีการให้สินเชื่อเช่าซื้อแก่ TSB ที่มูลค่าถึงประมาณ 9.4 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2567 ในขณะที่ผลการดำเนินงานของ TSB ยังคงอ่อนแอและต้องพึ่งพาการสนับสนุนทางการเงินจากบริษัทแม่คือ บล.บียอนด์ (BYD) เป็นอย่างมากในการชำระหนี้

ในการนี้ ทริสเรทติ้งมีข้อสังเกตถึงความเป็นไปได้ที่บริษัทจะมีการส่งมอบรถโดยสารไฟฟ้าอีกประมาณ 200-300 คันให้แก่ TSB ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 เพื่อสนับสนุนการเดินรถในเส้นทางใหม่ ๆ ซึ่งกรณีดังกล่าวอาจทำให้บริษัทมีความเสี่ยงจากคู่ค้าเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากผลการดำเนินงานที่ยังอ่อนแอของ TSB

ในอนาคตข้างหน้าทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทน่าจะยังยืนอยู่ในระดับที่สูงกว่า 5 เท่าต่อไปซึ่งต่างไปจากที่ ทริสเรทติ้งเคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งเห็นว่าความเสี่ยงที่ตัวชี้วัดด้านเครดิตของบริษัทอาจจะด้อยลงต่อไปอีกเนื่องจากผลของความพยายามในการลดภาระหนี้ของบริษัทยังคงไม่แน่นอน

ในการนี้ หากปัญหาในการเรียกเก็บชำระเงินที่ล่าช้ายังคงไม่ได้รับการแก้ไข ทริสเรทติ้งก็คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทอาจจะปรับตัวสูงขึ้นเกินกว่า 6.5 เท่าและอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินของบริษัทอาจจะลดลงต่ำกว่า 10% ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ในกรณีดังกล่าว อันดับเครดิตก็อาจได้รับการปรับลดลงได้อีก

ทริสเรทติ้งประเมินว่าสภาพคล่องของบริษัทค่อนข้างตึงตัว แต่ยังอยู่ในระดับที่จัดการได้ โดยในช่วง 12 เดือนข้างหน้าบริษัทน่าจะสามารถชำระคืนหนี้ได้โดยอาศัยเงินทุนจากหลายแหล่ง ได้แก่ กระแสเงินสดจากโรงไฟฟ้าต่าง ๆ ของบริษัท การขอวงเงินกู้ระยะสั้นใหม่เพื่อทดแทนหนี้เดิม (Rollover) และการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ เป็นต้น

แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” สะท้อนถึงความเสี่ยงที่สถานะทางการเงินของบริษัทจะถดถอยลงอีก โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA อาจปรับเพิ่มขึ้นเนื่องจากกระแสเงินสดจากธุรกิจผลิตไฟฟ้ามีแนวโน้มลดลงหลังจากสิ้นสุดอายุของ Adder ในขณะที่การสร้างกระแสเงินสดจากธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้ายังคงมีความไม่แน่นอนในระยะปานกลาง นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทอาจจะต้องก่อหนี้เพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนความต้องการเงินทุนหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้นรวมถึงแผนการลงทุนต่าง ๆ ของบริษัทอีกด้วย

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

ทริสเรทติ้งอาจปรับลดอันดับเครดิตลงหากสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงต่อไปอีกอย่างมีนัยสำคัญซึ่งอาจเกิดจากการเพิ่มขึ้นอย่างมากของหนี้สินเพื่อใช้สนับสนุนความต้องการเงินทุนหมุนเวียน การลงทุนโดยใช้เงินกู้ยืมจำนวนมาก หรือผลการดำเนินงานของธุรกิจใหม่ ๆ ที่ยังคงอ่อนแออย่างต่อเนื่อง ในการนี้ ทริสเรทติ้งอาจปรับลดอันดับเครดิตหากเห็นว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทอยู่ในระดับสูงเกินกว่า 6.5 เท่าหรืออัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินอยู่ในระดับต่ำกว่า 10%

ในทางกลับกัน การปรับเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตมาเป็น “Stable” หรือ “คงที่” อาจเกิดขึ้นหากบริษัทสามารถลดภาระหนี้สินลงหรือสามารถปรับปรุงวงจรเงินสดในการจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าได้อย่างมีนัยสำคัญซึ่งกรณีดังกล่าวน่าจะช่วยส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทอยู่ในระดับต่ำกว่า 6.5 เท่าและอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินของบริษัทอยู่ในระดับสูงกว่า 10% อย่างต่อเนื่อง

คำปฏิเสธ: บทความนี้ทำซ้ำจากสื่ออื่น ๆ วัตถุประสงค์ของการพิมพ์ซ้ำคือการถ่ายทอดข้อมูลเพิ่มเติมไม่ได้หมายความว่าเว็บไซต์นี้เห็นด้วยกับมุมมองและรับผิดชอบต่อความถูกต้องและไม่รับผิดชอบใด ๆ ตามกฎหมาย แหล่งข้อมูลทั้งหมดในเว็บไซต์นี้ได้รับการรวบรวมบนอินเทอร์เน็ตจุดประสงค์ของการแบ่งปันคือเพื่อการเรียนรู้และการอ้างอิงของทุกคนเท่านั้นหากมีการละเมิดลิขสิทธิ์หรือทรัพย์สินทางปัญญาโปรดส่งข้อความถึงเรา
©ลิขสิทธิ์2009-2020 วารสารธุรกิจไทย      ติดต่อเรา   SiteMap